เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบเรื่องราวของพริตตี้สาวทราบชื่อคือ นางสาวสุภาภร ชุมทอง อายุ 33 ปี หรือ จอย ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 902/188 หมู่บ้านประกายทอง หมู่ 2 ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อดีตพริตตี้ชื่อดังรูปร่างหน้าตาดี และมีงานในช่วงยุครุ่งเรืองรับงานอีเว้นต์ ทั้งใน จ.สงขลาและจังหวัดใกล้เคียง มีรายได้เดือนละ 4-5 หมื่นบาท แต่ชีวิตกลับพลิกผัน เนื่องจากป่วยเป็นโรคหนังแข็ง ซึ่งเป็นโรคที่พบ 1 ใน 5 แสนคนเท่านั้น จนทำให้พริตตี้สาวไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้ชีวิตครอบครัวต้องประสบปัญหาเนื่องจากขาดรายได้ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คน รถและบ้านกำลังจะถูกยึด ขณะที่ร่างกายทรุดลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีเงินรักษาตัว
จอยกล่าวว่าขณะนี้ทำได้เพียงกินยาต้มสมุนไพรเนื่องจากไม่มีเงินไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ต้องหาหมอทุก 15 วัน และครั้งละเกือบ 2 หมื่นบาท แต่รายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายจึงขาดการรักษามา 6 เดือน และจากความเครียด จึงทำให้อาการแย่ลง ซึ่งโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้พังผืดขยายตัวลุกลามไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายทั้งภายนอกและภายในร่างกาย สุดท้ายก็จะขยับไม่ได้ ต้องนอนแน่นิ่ง ซึ่งจากการค้นหาข้อมูล พบว่าบางรายเสียชีวิตภายใน 2 ปี
สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดขณะนี้คืออนาคตของลูกๆทั้งสามคน โดยลูกชายคนโต นายพุฒิพงศ์ อินทสุวรรณ อายุ 15 ปี กำลังจะจบชั้น ม.3 โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา และยังค้างค่าเทอมอยู่ หากไม่จ่าย ก็จะไม่ได้รับใบรับรองผลการศึกษา และกำลังเตรียมสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ ลูกชายอีกคน ด.ช.อ๋อง อินทสุวรรณอายุ 12 ปี จะขึ้นชั้น ป.6 โรงเรียนเทศบาล 2 และ ด.ญ.ปวีชยาออน ชุมทอง อายุขวบครึ่ง กำลังกินกำลังนอน
จอย บอกว่า ความช่วยเหลือที่ต้องการมากที่สุดขณะนี้ คือ เรื่องของการเรียนของลูกๆ ทั้งสามคน และการรักษาตัว เพื่อไม่ให้ร่างกายทรุดหนักไปกว่านี้ และมีแรงที่จะออกมาทำงานเลี้ยงดูครอบครัวได้เพราะทราบดีว่าโรคนี้รักษาไม่หาย แต่หากดูแลตัวเองดีๆ และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะอยู่ได้ สำหรับใครที่ต้องการช่วยเหลือครอบครัวตน หรือสอบถามอาการติดต่อได้ที่เบอร์โทร 088-3991800
ด้านนพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า โรคหนังแข็ง เป็นกลุ่มโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายอวัยวะ ทั้งผิวหนัง ระบบทางเดินอาหาร หัวใจ ไต เป็นต้น หากเป็นที่ผิวหนังก็จะส่งผลให้คอลลาเจน ซึ่งทำให้ผิวนุ่มหยุ่นนั้นเปลี่ยนเป็นหดแข็งมากขึ้น ลักษณะของผิวหนังจึงแข็ง เมื่ออาการแสดงที่รอบปากก็ทำให้ปากแคบลง แสดงอาการที่ปลายนิ้วก็ทำให้ตัวนิ้วหดรัด ขยับยาก จากเดิมที่ข้อนิ้วสามารถขยับไปมาได้สะดวกก็ขยับไม่ได้ โรคนี้ความรุนแรงมีหลายระดับทั้งเล็กน้อย ซึ่งยังสามารถทำงานได้ตามปกติ ระดับปานกลาง ไปจนถึงรุนแรง ซึ่งระดับรุนแรงอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหากโรคดังกล่าวเกิดขึ้นกับอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ระบบทางเดินอาหาร ก็จะทำให้ย่อยยาก เกิดกับไตอาจทำให้ไตทำงานเสื่อมลง เกิดที่หัวใจก็จะทำให้มีอาการเหมือนคนเป็นโรคหัวใจแทรกซ้อนขึ้น
นพ.จินดา กล่าวว่า สำหรับสาเหตุของโรคนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่ามีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ทั้งยีน และสิ่งแวดล้อม ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ ฟังก์ชันการทำงานของเซลล์ต่างๆ ผิดปกติ อัตราการพบผู้ป่วยยังไม่แน่ชัด แต่เป็นอีกโรคที่พบเจอได้บ่อย และพบเจอมากทางภาคอีสาน สำหรับการรักษานั้นต้องประเมินอาการของผู้ป่วยก่อนว่ามีความรุนแรงระดับใด เกิดขึ้นที่ส่วนไหนของร่างกายบ้าง เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้อง ซึ่งจะต้องมีการตรวจร่างกายทั่วไป และเจาะเลือดเพื่อตรวจในห้องปฏิบัติการ ถ้าหากเป็นที่ผิวหนัง ผู้ป่วยไม่ควรอยู่ในที่มีอากาศเย็นเพราะจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ผิวหนังก็ยิ่งแข็งและเจ็บปวดมากขึ้น หากอากาศหนาวก็ควรใส่ถุงมือถุงเท้าป้องกัน ทาครีม และรับประทานยาเพื่อช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน เป็นต้น แต่หากเป็นที่ระบบอื่นของร่างกายก็ต้องให้แพทย์ด้านนั้นๆ เป็นผู้ทำการรักษา อย่างไรก็ตาม แม้โรคนี้จะรักษาไม่หายขาด แต่การมารักษาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้โรคนิ่ง ไม่เป็นเพิ่มขึ้นหรือรุนแรงกว่าเดิม และช่วยให้อาการทุเลาลง ส่วนสิทธิการรักษานั้นถือว่าครอบคลุมอยู่แล้ว แต่การไม่ไปรักษาถือว่าอันตราย
ทั้งนี้สำหรับสิทธิการรักษาโรคหนังแข็ง จากการสอบถามสายด่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 1330 พบว่า สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ครอบคลุมการรักษาโรคดังกล่าว แต่ที่ผู้ป่วยบอกว่าไม่มีเงินซื้อยารักษานั้น จำเป็นต้องรับทราบข้อมูลของผู้ป่วยก่อนว่าเป็นอย่างไร ใช้สิทธิได้หรือไม่ แผนการรักษาเป็นอย่างไร เหตุใดจึงต้องซื้อยารับประทานเอง เพราะหากเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือยาบัญชี จ.2 สิทธิจะครอบคุลมอยู่แล้ว หรือหากการรักษาต้องใช้ยานอกบัญชีฯ เป็นยาอะไร อย่างไรก็ตาม หากแพทย์พิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้ยานอกบัญชีฯในการรักษาจริง ก็ไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view
0 comments:
แสดงความคิดเห็น